ภารกิจพิเศษ
สรุปการวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นของตนเอง
(นิทาน เชียงเมี่ยง)
รายงาน
เรื่อง เชียงเมี่ยง
รหัสนักศึกษา 57210403321
เสนอ
อาจารย์วัชรวร วงศ์กัณหา
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
สาขาวิชาภาษาไทย
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
.....................................................................................................................................................
ก
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
วรรณกรรมท้องถิ่น เป็นการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองนี้เกี่ยวกับเรื่อง นิทานพื้นบ้าน
ที่มา เนื้อหา ของวรรณกรรมพื้นบ้าน
อีกทั้งทำให้มีความรู้และเป็นแนวทางแก่ผู้ที่สนใจต่อไป
การศึกษานี้ ได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำเป็นอย่างดี
จากท่านอาจารย์วัชรวร วงศ์กัณหา
ที่ให้คำแนะนำในการรวบรวม ผู้จัดทำจึงใคร่ขอขอบพระคุณทุกท่านมา
ณ โอกาสนี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นางสาวอุไรวรรณ แสนเลิง
...........................................................................................................................
ข
สารบัญ
เรื่อง หน้า
-บทที่ 1 สรุปเนื้อหานิทาน เชียงเมี่ยง 1
เรื่อง หน้า
-บทที่ 1 สรุปเนื้อหานิทาน เชียงเมี่ยง 1
1.
ที่มาและความสำคัญ
2
2.
ประวัติผู้แต่/
ผู้แต่ง/ ปีที่แต่ง
3
-บทที่ 2
วิเคราะห์ ชื่อและเนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องเชียงเมี่ยง
4
1.
ชื่อเรื่องมาจากอะไร
4
2.
แก่นเรื่อง
4
3.
โครงเรื่อง
4
4.
ตัวละคร
5
5.
ภาษา
6
6.
ฉาก/สถานที่
6
-บทที่ 3 ความโดดเด่นของโครงเรื่อง
7
-บทที่ 4
การนำไประยุกต์ใช้
8
สรุป อินโฟกราฟฟิค เรื่องนิทานเชียงเมี่ยง 10
อ้างอิง
สรุป อินโฟกราฟฟิค เรื่องนิทานเชียงเมี่ยง 10
อ้างอิง
...........................................................................................................................
1
บทที่ 1
สรุปเนื้อหานิทาน เชียงเมี่ยง
เซียงเมี่ยง
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง ศรีธนญชัย กล่าวถึงพระมเหสีของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา
ฝันว่า มณีโชติแก้วกับท่อนจันทน์แดงแยงลงมาจากดาววดึงส์ฟ้า
อันมณีโชติแก้วตกกลางผาสารท น้องก็คุบยาดได้เอาผ้าห่อฮิง
อันว่าจันทน์แดงไม้ผันหนีไปอื่น ตกสู่พื้นสนามกว้างนอกเมือง
พอประมาณได้จันทน์แดงกลับต่าว เข้าสู่ห้องดอมแก้สฮวมกัน
อันว่าจันทน์แดงไม้ใสงามดูอาจเหลือที่คิดพอกพ้นงอแง้นก็หากงามแท้แล้ว ต่อมาพระมเหสีของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง
ได้ให้หมอโหรพยากรณ์ดู หมอบอกว่า ต้องหากุมารอื่นซึ่งเกิดในวันเดียวกัน
เดือนเดียวกันปีเดียวกันมาเลี้ยงเป็นคู่กัน พระราชกุมารจึงจะทรงพระเจริญได้
(กุมารนั้นก็คือเชียงเมี่ยง) พระราชาให้ขุนนางเอาเด็กที่ซื้อมาไปเลี้ยง
เพราะลูกของขุนนางที่เกิดมาใกล้ๆได้ตายไป พอได้สามปีขุนนางได้ลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วให้เชียงเมี่ยงเลี้ยงน้องดูแลน้องเอาไว้โดยสั่งให้ทำความสะอาดน้องด้วย
แต่เชียงเมี่ยงกลับฆ่าน้อง ผ่าท้องน้องเอาใส่น้องมาล้าง จึงทำให้ขุนนางโกรธและแค้นมาก
จึงนำไปหมอบให้พระราชาไว้เป็นคู่กับพระราชกุมาร
เซียงเมี่ยง เป็น คนฉลาดเฉลียว
เจ้าเล่ห์ เจ้าความคิด ช่างพูด ช่างเจรจา และมีน้องอีกคน
เซียงเมียงจึงมีหน้าที่ดูแลน้อง วันหนึ่งมีแม่ค้าขายขนมมาขายที่บ้าน
พ่อแม่ก็ซื้อให้ และแบ่งให้ลูกๆเท่าๆกัน แต่เซียงเมียงกลับเอ่ยว่า
น้องตัวเล็กต้องได้น้อยกว่าพี่จึงจะถูก แม่ค้านั้นเห็นน้องของเซียงเมียงน่ารัก
น่าเอ็นดูจึงหยิบขนมแถมให้ ทำให้เซียงเมี่ยงไม่พอใจ วันนั้นทั้งวัน เซียงเมี่ยงไม่ดูแลน้อง น้องจึงเล่นสกปรก
เล่นดินเล่นทราย จนแม่มาเห็นจึงบอกให้เซียงเมี่ยงดูแลอาบน้ำล้างขี้ล้างเยี่ยวล้างตับไตไส้พุงน้องให้สะอาด
เซียงเมี่ยงจึงจับน้องผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมาล้าง
เอาขมิ้นดินสอพองทาอย่างดีแล้วเอาใส่เปลเห่กล่อม
พ่อแม่รู้จึงเอาหวายมาไล่เฆี่ยนไล่ตีและขับไล่ให้ออกจากบ้าน
ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งอยู่ได้ไม่นานก็ถูกขับไล่ออกมา เพราะไปยอกเย้าหลานสาวสมภาร
เซียงเมี่ยงจึงไปขออยู่กับแม่ค้าขายขนม
(ซึ่งมีความแค้นกันอยู่)
วันหนึ่งแม่ค้าใช้ให้เอาขนมไปขาย และขอให้ขายดีเหมือนเทน้ำเทท่า
เซียงเมี่ยงจึงเอาไปน้ำเทท่าจริงๆ กลับมาบ้านแม่ค้าถามหาเงิน เซียงเมี่ยงก็ได้โกหกว่าคนแถวบ้านเชื่อไว้วันหน้าจะเอาเงินมาให้
หลายวันเข้าแม่ค้าจับได้จึงเอาไปฝากไว้กับลูกชายซึ่งเป็นขุนนาง(หลวงนาย)ชุบเลี้ยงในเมืองหลวงให้ช่วยกำราบเจ้าศรี
พอมาอยู่ที่นั่นก็ได้มีหน้าที่ถือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชา
วันหนึ่งเกิดทำพลูหล่นหาย หลวงนายจึงบอกว่าควรระมัดระวังเห็นอะไรก็เก็บให้หมด
วันต่อมา เจ้าศรีเห็นขี้หมา ขี้แมวแห้งก็เก็บใส่ล่วมมาหมด จึงนำถวายหลวงนาย
วันนี้เพื่อนของหลวงนายมาพอดี จึงจะเปิดล่วมให้เพื่อนด้วย
พอเปิดขึ้นหลวงนายก็ไม่พอใจไล่เตะเจ้าศรีด้วยความโมโห วันต่อๆมาเมื่อคนในบ้านเผลอจุดไฟไฟเผาบ้าน
คุณนายสั่งให้เจ้าศรีไปรายงานต่อหลวงนาย
เจ้าศรีแกล้งเดินเชื่องช้าคลานช้าๆเข้าไปกระชิบกระซาบหลวงนายกว่าจะรู้เรื่องไฟก็ไหม้หมดแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาฐานะของหลวงนายก็ยากจนลงถึงกับทำนาด้วยตัวเอง
วันหนึ่งแม่ของหลวงนายป่วย จึงสั่งให้เจ้าศรีไปเฝ้าดูแล ด้วยความแค้นแต่หนหลัง
เจ้าศรีจึงเอาสารหนูผสมกรอกกับยาให้กิน
หลวงนายไม่รู้จะทำประการใดก็ได้แต่ทำพิธีเผาตามประเพณี
เจ้าศรีจึงได้ไปอยู่ในเมืองตามเดิมและสร้างเรื่องสร้างราวไม่เว้นแต่ละวัน
หลวงนายจึงส่งไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระเจ้าภูเบศ
เมื่ออยู่ในวัง เจ้าศรีได้ใช้ความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่จนราชาพอพระทัย
จึงเลื่อนขั้นเป็น ขุนศรีธนชัย พอโตขึ้นนิสัย ขุนศรี ก็ฉลาดแกมโกง กำเริบ
ไม่ค่อยได้มาเข้าเฝ้าดังแต่ก่อน ครั้นราชาทรงถามก็ตอบว่ามัวแต่สร้าง เรือนทอง
อยู่จึงไม่ค่อยว่าง ราชาจึงเสด็จไปดูพร้อมนางกำนัล พอถึงปรากฏว่าเป็นเรือนไม้ทองหลางจึงรู้ว่า
ขุนศรี นี้หลอกเอาแล้ว จึงสั่งคนในวังไปถ่ายรดเรือนจนเลอะเทอะ
สมพระทัยแล้วจึงกลับวัง เจ้าศรีกลับทุบตีเหล่านางกำนัล
และหาว่าพวกนางทำเกินคำสั่งเพราะตดด้วย อยู่ต่อมาเจ้าศรีอยากมีที่ดินไว้สร้างฐานะของตน
จึงขอที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย กับราชา ราชาตอบตกลง เจ้าศรีจึงไล่ตีแมว
แมวเจ็บร้องเสียงหลงวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงที่นาใครเจ้าศรีก็เอาธงปักไว้
ชาวนาเข้าไปร้องเรียน พระราชาไม่รู้จะทำประการใดได้แต่นำทรัพย์มาทดแทนชาวนาไป
เพราะตรัสแล้วมิอาจคืนคำได้ อยู่ต่อมาอีก เจ้าศรีตามเสด็จพระราชาไปประพาสสวนหลวง
ราชาจึงตรัสท้าเจ้าศรีว่าหากหลอกให้ลงสระได้จะให้รางวัล
เจ้าศรีทูลว่ามิอาจหลอกให้ลงสระได้ แต่ถ้าหากหลอกให้ขึ้นจากสระล่ะพอมีทางอยู่
เมื่อลงสระแล้วจึงรู้ว่าเสียทีแล้ว แต่ก็ประทานรางวัลให้อย่างงาม
เมื่อถึงหน้าหนาว
คิดอยากจะหาสาวมากอดให้อุ่นอก คิดอยากจะมีครอบครัว
จึงไปบอกกับคนรู้จักที่สนิทสนมว่า จะขอลูกสาวไปทำลูก
จึงยกให้แต่กว่าจะรู้ว่าเสียที เจ้าศรีก็ได้ลูกสาวเป็นเมียเสียแล้ว
อยู่ไม่นานภรรยาของ ขุนศรี(เจ้าศรี) บ่นว่าไม่มีเงินใช้
ขุนศรีจึงไปพนันกับเหล่าอำมาตย์ต่อหน้าพระที่ว่า
เจ้าศรีจะทายใจว่าเหล่าท่านอำมาตย์คิดอะไรอยู่ ท่านอำมาตย์จึงว่าไม่มีทางแน่นอน
จึงรับคำท้า ขุนศรีจึงทายว่า
เหล่าอำมาตย์นี้ล้วนแต่จงรักภักดีต่อพระองค์และแผ่นดินยิ่งกว่าชีพตน
เจอไม้นี้ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
มิเช่นนั้นมีหวังเจอข้อหากบฏต่างแพ้พนัน ขุนศรีจึงนำเงินที่มากมายไปให้ภรรยา
เวลาผ่านไปมีเจ้าเมืองสิงหลส่งปราชญ์มาท้าประลองปริศนาธรรมด้วยหากใครแพ้จะต้องยกเมืองให้เป็นเมืองขึ้น
ขุนศรี ขันอาสา เมือถึงวันประลอง ปราชญ์นั้นก็แพ้ย่อยยับกลับไป
จากนั้นก็มีเมืองจากประเทศต่างๆมาท้าประลองด้วยกล เล่ห์ต่างๆแต่ก็แพ้กลับไป
พร้อมสาปส่งว่าจะไม่ขอกลับมาเจอหน้าขุนศรีอีก
...........................................................................................................................
2
1. ที่มาและความสำคัญ
เซียงเหมี้ยง คือนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในภาคเหนือ และภาคอีสาน ค้นพบพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2501 ซึ่งมีเนื้อหาต่างจากศรีธนญไชยสำนวนกาพย์ที่แพร่หลายในภาคกลาง
เนื้อเรื่องกล่าวถึงพญาทวาละครองผู้เมืองทวาลีมีลูกคนหนึ่ง แต่โหรทำนายว่า
กุมารน้อยจะเลี้ยงยาก ต้องหาเด็กที่เกิดวันเวลาเดียวกัน มาเลี้ยงคู่กันไปเป็นการแก้เคล็ดจะได้มาเป็นลูกเลี้ยงของพญา
ก็คือ เซียงเหมี้ยง ผู้เป็นชาวนาสามัญชน เซียงเหมี้ยงเป็นผู้มีปัญญา
มีปฏิภาณไหวพริบดีและมีเล่ห์เหลี่ยม
และฉลาดแกมโกงจึงทำให้ชีวิตของเขาต้องคอยฝ่าฟันปัญหาที่เกิดจากความฉลาดของเขานั่นเอง
นิทาน เชียงเมี่ยง
เรียบเรียง : จินดา ดวงใจ
ราคา 120 บาท
จัดพิมพ์จำหน่ายที่ คลังนานาธรรม
จัดพิมพ์จำหน่ายที่ คลังนานาธรรม
161/6—8
หน้าตลาดสดเทศบาล 1
ถ.กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
พิมพ์ที่
โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จำกัด
54/67,68,71,72 ซอย 12 ถนนเจริญสนิทวงศ์
แขวงวัดท่าพระ เขตบางกองใหญ่ กรุงเทพฯ 10600
โทร. 8640434-5,4125887,4125891
โทรสาร
4123087 มือถือ 01-9238825
...........................................................................................................................
3
2. ประวัติหนังสือ
ผู้เรียบเรียง : จินดา ดวงใจ
ชื่อเรื่อง : นิทานเชียงเมี่ยง
พิมพ์ลักษณ์ : ขอนแก่น :
คลังนานาธรรม-คลังนานาวิทยา, 2506.
เลขเรียก ส 398.295933 อ15ท
รูปเล่ม [22] หน้า ;
21 ซม.
หมายเหตุ :
ฉบับถ่ายเอกสาร
หัวเรื่อง : นิทานพื้นเมือง--ไทย
(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ชื่อเรื่องเพิ่ม : เชียงเมี่ยง
จำหน่ายผ่านทางเว็บ
ร้านคลังนานาธรรม
ก่อตั้งพ.ศ. 2480
161/6-8 ด้านข้างโรงเรียนกัลยาณวัตร ถนนกลางเมือง
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
Tel 043-221591, 043-221346 แฟ๊กซ์ 043-223482
EMAIL: KLANGNANATHAM@GMAIL.COM
...........................................................................................................................
4
บทที่ 2
การวิเคราะห์ ชื่อและเนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องเชียงเมี่ยง
1.วิเคราะห์ชื่อเรื่อง
- นิทานเรื่องเซียงเมี่ยงเป็นวรรณกรรมอีสาน ที่เล่าสืบต่อกันมาโดยโครงเรื่องมาจาก ศรีธนนชัย คำว่า เซียง หมายถึงคนที่บวชเณรแล้วสึกออกมา คำว่า เมี่ยง เป็นชื่อคนมีความหมายเหมือนคนไม่เอาไหนและเชียงเมี่ยง เณรคำ (เมี่ยง) ได้พนันเอาเมี่ยงกับฆารวาส จึงได้นามสมญาว่า “เชียงเมี่ยง” นั่นเป็นชื่อที่ตรงกับตัวละครเอกของเรื่อง
2.แก่นเรื่อง
ฉลาดแกมโกงเป็นบ่เกิดของปัญหา
ฉลาดแกมโกงเป็นบ่เกิดของปัญหา
3.วิเคราะห์โครงเรื่อง
เปิดเรื่อง
เปิดเรื่อง
กล่าวถึงพระมเหสีของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา
ฝันว่า มณีโชติแก้วกับท่อนจันทน์แดงแยงลงมาจากดาววดึงส์ฟ้า อันมณีโชติแก้วตกกลางผาสารท
น้องก็คุบยาดได้เอาผ้าห่อฮิง อันว่าจันทน์แดงไม้ผันหนีไปอื่น
ตกสู่พื้นสนามกว้างนอกเมือง พอประมาณได้จันทน์แดงกลับต่าว
เข้าสู่ห้องดอมแก้สฮวมกัน
อันว่าจันทน์แดงไม้ใสงามดูอาจเหลือที่คิดพอกพ้นงอแง้นก็หากงามแท้แล้ว
การดำเนินเรื่อง
-
พระมเหสีของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง ได้ให้หมอโหรพยากรณ์ดู
หมอบอกว่า ต้องหากุมารอื่นซึ่งเกิดในวันเดียวกัน
เดือนเดียวกันปีเดียวกันมาเลี้ยงเป็นคู่กัน พระราชกุมารจึงจะทรงพระเจริญได้
(กุมารนั้นก็คือเชียงเมี่ยง)
-
พระราชาให้ขุนนางเอาเด็กที่ซื้อมาไปเลี้ยง
เพราะลูกของขุนนางที่เกิดมาใกล้ๆได้ตายไป พอได้สามปีขุนนางได้ลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วให้เชียงเมี่ยงเลี้ยงน้องดูแลน้องเอาไว้โดยสั่งให้ทำความสะอาดน้องด้วย
แต่เชียงเมี่ยงกลับฆ่าน้อง ผ่าท้องน้องเอาใส่น้องมาล้าง
จึงทำให้ขุนนางโกรธและแค้นมาก จึงนำไปหมอบให้พระราชาไว้เป็นคู่กับพระราชกุมาร
-
วันหนึ่งมีแม่ค้ามาขายขนมแม่เลยซื้อขนมให้ทั้งสองคนแต่เชียงเมี่ยงไม่พอใจที่ได้เท่ากันกับน้องเพราะว่าน้องตัวเล็กกว่าไม่น่าจะได้เท่ากับตัวเองเซียงเมี่ยงโกรธเลยไม่ดูแลน้องจนน้องเล่นชนเปลื้อนดินพ่อแม่มาเห็นจึงโมโหไล่เซียงเมี่ยงไปล้างขี้ล้างเยี่ยวล้างไส้ล้างพุงพอเซียงเมี่ยงได้ยินเลยจับน้องมาผ่าท้องล้างไส้ล้างพุงจริงๆจึงทำให้โดนไล่ออกจากบ้าน
- หลังจากไล่ออกจากบ้าน เซียงเมี่ยงก็ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งพอบวชได้ไม่นานก็ถูกไล่ออกจากวัดเพราะไปยอกเย้าลูกสาวสมภาร
- เซียงเมี่ยงจึงไปขออยู่กับแม่ค้าคนที่ขายขนมให้ ซึ่งมีความแค้นกันอยู่ วันหนึ่งแม่ค้าให้เซียงเมี่ยงไปขายขนมต้องขายให้ได้ปานเทน้ำเทท่าเซียงเมี่ยงก็เอาขนมไปเทลงน้ำจริงๆ เลยมาโกหกว่ามีคนแถวบ้านซื้อไปหมดแต่หลายวันต่อมาแม่ค้าก็จับได้จึงเอาเชียงเมี่ยงไปฝากไว้กับคุณนางคนหนึ่ง
-พ่อเซียงเมี่ยงมาอยู่กับคุณนางก็มีหน้าที่คือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชาวันหนึ่งพลูหายเซียงเมี่ยงก็เลยเก็บก้อนขี้หมาขี้แมวตามทางใส่ลงไปแทนเอาไปถวายพระราชาพระราชาไม่พอใจจึงไล่ตีเซียงเมี่ยง
-ต่อมาแม่ของหลวงในป่วยจึงสั่งให้เซียงเมี่ยงไปเฝ้าแต่ด้วยความแค้นแต่หนหลังเชียงเมี่ยงเลยเอาสารหนูใส่ผสมกับยาให้หลวงนายกินพ่อหลวงนายตายเซียงเมี่ยงก็อยู่ในวังโดยสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อนเมื่ออยู่ในวังเชียงเมี่ยงก็ได้ใช้ความรู้จนพระราชาพึงพอใจจึงเลื่อนขั้นให้เป็นขุนศรีธนนชัย
- หลังจากไล่ออกจากบ้าน เซียงเมี่ยงก็ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งพอบวชได้ไม่นานก็ถูกไล่ออกจากวัดเพราะไปยอกเย้าลูกสาวสมภาร
- เซียงเมี่ยงจึงไปขออยู่กับแม่ค้าคนที่ขายขนมให้ ซึ่งมีความแค้นกันอยู่ วันหนึ่งแม่ค้าให้เซียงเมี่ยงไปขายขนมต้องขายให้ได้ปานเทน้ำเทท่าเซียงเมี่ยงก็เอาขนมไปเทลงน้ำจริงๆ เลยมาโกหกว่ามีคนแถวบ้านซื้อไปหมดแต่หลายวันต่อมาแม่ค้าก็จับได้จึงเอาเชียงเมี่ยงไปฝากไว้กับคุณนางคนหนึ่ง
-พ่อเซียงเมี่ยงมาอยู่กับคุณนางก็มีหน้าที่คือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชาวันหนึ่งพลูหายเซียงเมี่ยงก็เลยเก็บก้อนขี้หมาขี้แมวตามทางใส่ลงไปแทนเอาไปถวายพระราชาพระราชาไม่พอใจจึงไล่ตีเซียงเมี่ยง
-ต่อมาแม่ของหลวงในป่วยจึงสั่งให้เซียงเมี่ยงไปเฝ้าแต่ด้วยความแค้นแต่หนหลังเชียงเมี่ยงเลยเอาสารหนูใส่ผสมกับยาให้หลวงนายกินพ่อหลวงนายตายเซียงเมี่ยงก็อยู่ในวังโดยสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อนเมื่ออยู่ในวังเชียงเมี่ยงก็ได้ใช้ความรู้จนพระราชาพึงพอใจจึงเลื่อนขั้นให้เป็นขุนศรีธนนชัย
ปมของเรื่อง
เมื่อพระเจ้าอยุทธยาจวนจะสวรรคต
ได้เรียกโอรสทั้งสองเข้าไปสั่งสอนให้รักกันและบอกความจริงให้ฟังว่า ได้หากุมารอื่นซึ่งเกิดในวันเดียวกัน
เดือนเดียวกัน และปีเดียวกันมาเลี้ยงเป็นคู่กัน พระราชโอรสจึงจะทรงพระเจริญได้
จุดสูงสุด
เณรคำเป็นผู้เฉลียวฉลาด
ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาหรือต่อกลอนกับเณรคำได้
อยู่มาวันหนึ่งพวกส่วยเมี่ยงนำเมี่ยงมาส่งส่วย ได้เกิดมาท้าพนันกับเณรคำ
แต่สู้เณรไม่ได้ เณรจึงได้เมี่ยงมากิน พระราชารู้จึงถูกพระราชาให้สึก
เพราะเณรพนันเอาเมี่ยงกับฆราวาส เพราะเมี่ยงเป็นเหตุจึงได้นามสมญาว่า
เชียงเมี่ยง
และได้ไปมีปัญหากับราชาเจ้าพระยาหลวงผู้เป็นพี่ตลอดมา
คลายปมเรื่อง
เชียงหลวง (เชียงราช) ทำตามที่ราชาเจ้าพระยาหลวงสั่งทุกอย่างโดยไม่เครียดแค้นและรับอาสาไปรับมือกับชาวหัวล้านสะเภาหลวงใหญ่ที่ลือชาว่าเที่ยวพนันเอาบ้านเมืองได้หลายเมืองมาแล้ว ถ้าเชียงหลวงมีชัยชนะจะแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเกิ่งเมือง เชียงหลวงก็พนันบ้านเมืองได้สำเร็จ
คลายปมเรื่อง
เชียงหลวง (เชียงราช) ทำตามที่ราชาเจ้าพระยาหลวงสั่งทุกอย่างโดยไม่เครียดแค้นและรับอาสาไปรับมือกับชาวหัวล้านสะเภาหลวงใหญ่ที่ลือชาว่าเที่ยวพนันเอาบ้านเมืองได้หลายเมืองมาแล้ว ถ้าเชียงหลวงมีชัยชนะจะแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเกิ่งเมือง เชียงหลวงก็พนันบ้านเมืองได้สำเร็จ
ปิดเรื่อง
ราชาเจ้าพระยาหลวงได้อุปภิเษกให้เชียงราชเป็นพระยา
ชื่อว่า ศรีธนญชัย ให้ปกครองเมืองด่างเจ้า
พร้อมทั้งของพระราชทานและข้าทาสผู้รับใช้ เป็นพี่น้องกัน ทายปัญาหา
หยอกล้อกันอย่างมีความสุข แต่ต่อมาเซียงเมี่ยงต้องตายเพราะกินยาของเจ้าพระยาหลวง
...........................................................................................................................
5
4.ตัวละคร
1. วิเคราะห์ตัวละครหลัก
เชียงเมี่ยง : เป็นตัวละครผู้มากด้วยปัญหา ไหวพริบ ความเฉลียวฉลาดในรูปแบบที่ไม่คำนึงถึงกติกาหรือกฏเกณฑ์ใดๆ จะเรียกว่าเป็นการแข่งขันด้วยไหวพริบ และกลโกงก็ว่าได้ คนชนะก็ได้ทุกอย่างไปตามลิ้นของตนเอง ส่วนผู้ที่ตามเกมส์ไม่ทันก็ต้องพ่ายแพ้ และเสียผลประโยชน์ไปตามกลเกมส์ของผู้ที่มากเล่ห์
เชียงเมี่ยง : เป็นตัวละครผู้มากด้วยปัญหา ไหวพริบ ความเฉลียวฉลาดในรูปแบบที่ไม่คำนึงถึงกติกาหรือกฏเกณฑ์ใดๆ จะเรียกว่าเป็นการแข่งขันด้วยไหวพริบ และกลโกงก็ว่าได้ คนชนะก็ได้ทุกอย่างไปตามลิ้นของตนเอง ส่วนผู้ที่ตามเกมส์ไม่ทันก็ต้องพ่ายแพ้ และเสียผลประโยชน์ไปตามกลเกมส์ของผู้ที่มากเล่ห์
เพศ
ชาย
ฐานะ ผู้เป็นชาวนาสามัญชน
ลักษณะ เป็นผู้มีปัญญา
มีปฏิภาณไหวพริบดีและมีเล่ห์เหลี่ยม และฉลาดแกมโกง
ราชาเจ้าพระยาหลวง :
เป็นพระราชโอรสของพระมเหสีของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
เพศ ชาย
ฐานะ เป็นพระมหากษัตริย์
ชื่อ ราชาเจ้าพระยาหลวง
ลักษณะ เป็นผู้มีปัญญา
2. วิเคราะห์ ตัวละครรอง
ขุนนางหรือที่เรียกว่าพ่อแม่
: เป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงเชียงเมี่ยงจนโต อายุได้ 7-8 ขวบ
เพศ ชาย/หญิง
ฐานะ
เป็นขุนนางที่คอยรับใช้ราชาเจ้าพระยาหลวง
ลักษณะ
เป็นผู้ที่ถือความถูกต้องและความดี
แม่ค้าหรือยายแม้น : เป็นแม่ค้าที่ทำมาหากินโดยการขายขนม
เพศ หญิง
ฐานะ
เป็นแม่ค้าขายขนม
ลักษณะ
เป็นผู้ที่พูดจากเก่ง มีความแค้นอยากจะเอาชนะเชียงเมี่ยงให้ได้
คุณนาง
: เป็นภรรยาของหลวงนายหรืออำมาตย์
เพศ หญิง
ฐานะ
เป็นภรรยาของหลวงนายหรืออำมาตย์
ลักษณะ
เป็นผู้ที่เป็นแม่ศรีเรือน
อำมาตย์
: ที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญและใกล้ชิดกับพระราชา
เพศ ชาย
ฐานะ
เป็นที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญ
ลักษณะ
เป็นผู้ที่มีความเป็นธรรม
...........................................................................................................................
6
5.
ภาษา
นิทานเรื่องเชียงเมี่ยง หรือ ศรีธนญชัย ในเล่มที่ศึกษาเป็นภาษาไทยถิ่นอีสาน
หรือ ภาษาลาวอีสาน เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
เป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่งในสำเนียงภาษาถิ่นของภาษาลาว ในเรื่องจะเป็นภาษาลาวตะวันตก
(ภาษาลาวร้อยเอ็ด) ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ท้องที่ร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม หนองคาย(บางหมู่บ้าน)
และบริเวณใกล้เคียงมณฑลร้อยเอ็ดของสยาม
ในเรื่องเชียงเมี่ยงได้ใช้ภาษาอีสานในการเล่าเรื่องเพราะภาษาอีสานมีเสน่ห์
มนต์ขลังในตัวเอง โดยเฉพาะคำพูดตามภาพข้างต้น
ผมรู้สึกและสัมผัสได้กับ สิ่งแอบแฝง ที่ซ่อนมากับภาษา ซึ่งได้แก่พฤติกรรม
นิสัยใจคอของบรรพชน ที่เป็นอัตตลักษณ์อย่างหนึ่ง....ของชนชาวอิสานดั้งเดิมด้วย
อาทิเช่น.......
๑.๑ ความมิตร ความเป็นกันเอง
ดุจคนในครอบครัว เหมือนพ่อกับลูก เฉกเช่นภาษาไทยในสมัยสุโขทัย
ที่ระบุในหลักศิลาจารึกว่า...พ่อกูชื่อขุนศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง....
๑.๒ บอกถึงพฤติกรรมที่ตรงไปตรงมา
เปิดเผยและจริงใจ
๑.๓ บ่งบอกถึงความเสมอภาค
ความเท่าเทียม ไม่แบ่งชั้นวรรณะ หรือชนชั้น อำมาตย์ ไพร่
ผู้ดีหรือแบ่งสีแบ่งเหล่า
๑.๔ บอกให้เห็นถึงความเข้าใจ
เข้าถึงและซึมลึกในธรรมชาติและความเป็นตัวตนอย่างดี
6.ฉาก/
สถานที่
1.) ฉากหลัก
1. ฉากพระราชวังของเจ้าพระยา
เป็นฉากในหลายตอนแต่ขอยกมา ตอนยาวิเศษกินข้าวแซบ
เชียงเมี่ยงตั๋วพระยาว่าจะหายามาให้พระยากินว่าเป็นยากินข้าวแซบ
พระยากะคอยท่ากับยากินข้าวแซบกับเชียงเมี่ยงจนพระยาทนบ่ไหวหิวข้าวเลยให้นางสนมยกกับข้าวมากินแล้วเชียงเมี่ยงกะมาเห็นพระยากำลังกินข้าวเลยถามว่ากินข้าวแซบบ่พระยา
พระยากะบอกว่าแซบ ชียงเมี่ยงกะเลยบอกว่านี้ละยากินข้าวแซบ
2. ฉากนางสนมขี้ใส่เฮือนทอง
เป็นฉากในหลายตอนแต่ขอยกมา
ตอนนางสนมขี้ใส่เฮือนทอง เพราะเชียงเมี่ยงทำให้พระยาหลวงโกรธ
พระยาหลวงจึงสั่งให้นางสนมไปขี้ใส่เฮือนทองของเชียงเมี่ยง
2.) ฉากรอง
1. ฉากริมคลอง
เป็นฉากที่เชียงเมี่ยงนำขนมของแม่ค้าไปให้เพื่อนกินและตัวเองกินเอง
เมื่อกินไม่หมดก็เอาขนมทิ้งลงแม่น้ำ
2.ฉากที่วัด
เป็นฉากที่เซียงเมี่ยงก็ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งพอบวชได้ไม่นานก็ถูกไล่ออกจากวัดเพราะไปยอกเย้าลูกสาวสมภาร
3.ฉากบ้านคุณนาง
เป็นฉากที่เชียงเมี่ยงมีหน้าที่คือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชาวันหนึ่งพลูหายเซียงเมี่ยงก็เลยเก็บก้อนขี้หมาขี้แมวตามทางใส่ลงไปแทนเอาไปถวายพระราชาพระราชาไม่พอใจจึงไล่ตีเซียงเมี่ยง
4. ฉากทุ่งกว้าง
เป็นฉากที่เชียงเมี่ยงบวชเณรอยู่
แล้วไปพนันกับพวกชาวเมี่ยง ถ้าเณรชนะก้จะได้เมี่ยงไป
5. ฉากที่บ้าน
เป็นฉากที่แม่ค้ามาขายขนมแม่เลยซื้อขนมให้ทั้งสองคนแต่เชียงเมี่ยงไม่พอใจที่ได้เท่ากันกับน้องเพราะว่าน้องตัวเล็กกว่าไม่น่าจะได้เท่ากับตัวเอง
6.
ฉากข้างคลอง
เป็นฉากที่พ่อแม่มาเห็นจึงโมโหไล่เซียงเมี่ยงไปล้างขี้ล้างเยี่ยวล้างไส้ล้างพุงพอเซียงเมี่ยงได้ยินเลยจับน้องมาผ่าท้องล้างไส้ล้างพุงจริงๆจึงทำให้โดนไล่ออกจากบ้าน
...........................................................................................................................
7
บทที่ ๓
ความโดดเด่นของโครงเรื่อง
ความโดดเด่นของโครงเรื่อง
ศรีธนญชัย
เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานมุขตลกคนเจ้าปัญญา และเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะมาก่อนที่จะมีการสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ในรูปแบบของร้อยกรองที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกาพย์และกลอนเสภา
และรูปแบบที่เป็นร้อยแก้ว
นิทานศรีธนญชัยมีมาแต่โบราณ
ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับต้นกำเนิด สมัยที่แต่ง และชื่อผู้แต่ง วรรณกรรมเรื่องนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเรื่องหนึ่งในท้องถิ่นต่างๆ
ของไทยตราบถึงปัจจุบัน ภาคกลางและภาคใต้รู้จักกันในชื่อ “ศรีธนญชัย” ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จักกันในชื่อ “เชียงเมี่ยง” แม้นิทานศรีธนญชัยจะมีหลายสำนวน
แต่ก็มีลักษณะร่วมกันในด้านโครงเรื่อง คือ
เป็นเรื่องราวชีวิตของชายผู้หนึ่งซึ่งใช้ปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ
ให้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับ ตั้งแต่วัยเด็กจนสิ้นอายุขัย
เหตุการณ์แต่ละตอนมีลักษณะเป็นเรื่องสั้นๆ ซึ่งสามารถหยิบยกมาเล่าแยกกันได้
วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาและพลังทางปัญญาในการสร้างสรรค์
อันประกอบด้วยศิลปะของการถ่ายทอดเรื่องราวที่ทำให้เกิดอารมณ์ขัน
โดยแสดงความเจ้าปัญญาของตัวเอกในลักษณะที่คาดไม่ถึง
หรือพลิกความคาดหมายได้อย่างออกรส และแสดงพลังทางภาษาด้วยการนำเอาถ้อยคำ สำนวนมาเล่นคำ
เล่นความหมายได้ตามความต้องการ ซึ่งนอกจากจะใช้ความเถรตรงแล้ว ยังใช้กลวิธีอื่นๆ
อีก เช่น การใช้กลอุบายการใช้จิตวิทยา และการหาเหตุผลโดยการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ
ที่ปกติไม่ค่อยมีใครนำมาสัมพันธ์กัน
หรือโดยการมองสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับคนอื่นมาแก้ไขปัญหาหรือเอาตัวรอดได้
เมื่อพินิจนิทานศรีธนญชัยอย่างลึกซึ้งจะเห็นได้ว่า
ศิลปะการสร้างสรรค์ดังกล่าวทำให้นิทานศรีธนญชัย
มิได้มีคุณค่าด้านการให้ความบันเทิงหรือสนุกสนานเพลิดเพลินเท่านั้น
แต่ยังมีคุณค่าที่ให้สาระด้านความคิดด้วย กล่าวคือ ได้แฝงแนวคิดร่วมหรือแนวคิดที่เป็นสากลของมนุษยชาติ
คือเรื่องความสำคัญของการใช้ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ
เรื่องความขัดแย้งกับบุคคลและความขัดแย้งกับค่านิยมของสังคม และเรื่อง “เสียหน้า” โดยได้นำสภาพแวดล้อม
สังคมและวัฒนธรรมไทยมาสอดแทรกไว้ในเนื้อหาได้อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ ยังทำให้ประจักษ์ถึงสัจธรรมเกี่ยวกับความไม่เที่ยงที่ว่า
ไม่มีผู้ใดจะครองความเป็นผู้ชนะได้ตลอดกาล และทำให้ได้คิดว่า
ควรใช้ปัญญาไปในทางสร้างสรรค์มิใช่ทำลาย
นิทานศรีธนญชัยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งหลายก็เพราะสามารถทำให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวที่อยู่ในโลกสมมุติได้อย่างเต็มที่
เสียงหัวเราะอันเกิดจากความหฤหรรษ์ในการล้อเลียนเสียดสีบุคคล
หรือกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดในสังคมนั้นแสดงให้เห็นบทบาทของ “มุกตลก” ว่าเป็นทางออกที่ช่วยผ่อนคลายหรือลดความตึงเครียดของคนในสังคมได้อย่างแยบคาย
นิทานศรีธนญชัยจึงสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาของความคิดสร้างสรรค์ที่มีคุณค่ายิ่ง
ปัจจุบัน
นิทานศรีธนญชัย ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย
และเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติด้วย เนื่องจากลักษณะเด่นของศรีธนญชัยคนเจ้าปัญญา
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้มีการนำไปสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะในหลายรูปแบบ เช่น
จิตรกรรมฝาผนัง ในพระวิหารวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ภาพยนตร์
หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์การ์ตูน เป็นต้น
...........................................................................................................................
8
บทที่ 4
การนำไปประยุกต์ใช้
1. นิทาน เซียงเมี่ยง ปัจจุบันถูกนำไปใช้ในด้านใดบ้าง.
นิทานพื้นบ้านเรื่องเชียงเมี่ยง เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมในประเทศลาว
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการผจญภัยของชายหนุ่ม ซึ่งเกิดมาจากครอบครัวสามัญชน ในการใช้ไหวพริบและความฉลาดในการใช้สติปัญญา เพื่อเอาชนะกษัตริย์ผู้ครองนครและคหบดี โดยนิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการช่วงชิงระหว่างชนชั้น
ซึ่งคล้าย
คลึงกับวรรณกรรมลาวเรื่องอื่นๆ
ซึ่งความฉลาดและมีศิลธรรมของตัวเอกในเรื่องมีความสำคัญมากกว่าชาติกำเนิด
นิทานพื้นบ้านเรื่องเชียงเมี่ยง ถูกถ่ายทอดทั้งในรูปบทร้อยกรอง
และร้อยแก้ว
โดยต้นฉบับของนิทานพื้นบ้านเชียงเมี่ยงได้ถูกนำมาเผยแพร่ ณ ห้องสมุดแห่งชาติลาว ในอดีต คืออาณาจักรล้านช้าง
แต่มีนิทานและเรื่องเล่ามากมายในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย อย่างน้อยตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16
เป็นต้นมา
โดยปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ที่นิทานเชียงเมี่ยงไม่ค่อยได้รับความนิยม
วัยรุ่นตนหนุ่มสาวไม่ให้ความสนใจนิทานพื้นเมืองเลย หากมัวแต่ให้เด็กๆอ่านนิทานฝรั่ง เช่น สโนไวท์
นิทานพื้นเมืองอาจจะหายสาบสูญไปในที่สุด
ดังนั้น เพื่อเป็นการรณรงค์นิทานพื้นเมือง ให้คงอยู่ต่อไป จึงควรมีการสอนนิทานพื้นเมืองในโรงเรียน ให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา เพื่อเป็นการกระตุ้นการอ่านและรักษา สืบสานนิทานพื้นเมืองไว้ต่อไป
ตัวอย่าง
นิทานเชียงเมี่ยง บางตอน
เชียงเมี่ยง ตอนนี้ เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาในแถบลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งไทย มีนครพนม สกลนคร หนองคาย เป็นต้น
อดีตกาลนานมา
เวียงจันทน์กับไทยเป็นศัตรูกัน
ไทยยกทัพไปตีเวียงจันทน์หลายครั้ง
แต่ก็ไม่ชนะสักทีทั้งที่มีกำลังมากกว่า เพราะเวียงจันทน์มีพระยานาคมาช่วยเหลือ คือเมื่อเจ้าเมืองตีกลองขึ้นพระยานาคก็จะโผล่ขึ้นมาจากน้ำพ่นพิษใส่ทหารไทยตายหมด
กษัตริย์ไทยทราบเรื่องจึงวางแผนให้เชียงเมี่ยง ที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม
ปลอมเป็นหมอมอ(หมอโหร) เข้าไปในเวียงจันทน์ เมื่อได้โอกาสเข้าพบเจ้าอนุ
เจ้าเมืองเวียงจันทน์ หมอมอทำนายว่าเจ้าอนุวงศ์จะได้รับมรดกที่เป็นเงินฝังไว้ที่ครกมอง
เมื่อเจ้าอนุให้คนไปขุดดูก็ได้พบจริงๆ
จึงทำให้เกิดความศรัทธาเชื่อถือในหมอมอคนนี้มาก
ส่วนสาเหตุที่พบนั้น เนื่องจากเชียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้ว
ต่อมาเชียงเมี่ยงให้คนทำว่าวติดธนู แล้วปล่อยขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็น
ได้ยินแต่เสียงธนูเจ้าอนุแปลกใจมากหาสาเหตุไม่ได้จึงให้เรียกหมอมอมาทำนายดู
เชียงเมี่ยงก็ทำนายว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนแก่บ้านเมือง
เพราะเสียงนั้นคือภูตผีปีศาจที่ร้องโหยหวนจะลงมากิน ผู้คน พระราชาอนุ ถามว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร หมอมอปลอมบอกว่าจะต้องไปตัดลิ้นกลองใบนั้นและให้อุดรูพระยานาคเสีย เสียงนั้นก็จะหายไปและภูตผีปีศาจจะไม่ลงมากินผู้คน
เจ้าอนุหลงกลจึงให้คนทำตาม ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ให้คนไปตัดสายว่าว เสียงนั้นก็หายไป
จากนั้นเชียงเมี่ยงก็ให้สัญญาณให้กองทัพของไทยเข้าตีเวียงจันทน์ เจ้าอนุให้คนไปตีกลองเพื่อให้พระยานาคมาช่วย แต่กลองก็ตีไม่ดัง เพราะสิ้นลิ้นไปแล้ว ประกอบกับพระยานาคก็ถูกอุดรู
พระยานาคจึงไม่ได้ขึ้นมาช่วยทำให้เวียงจันทน์ต้องแพ้แก่ไทย เจ้าอนุนั้นถูกฆ่าตาย แล้วเวียงจันทน์ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของไทย
http://oknation.nationtv.tv/blog/AmMiEZaa/2008/02/03/entry-1
...........................................................................................................................
9
เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง
ตัวอย่าง
๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชย บุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา
หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญา กู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที
ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถาน ป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี
บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดี นามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร
ชนชาวภารากว่าห้าแสน เนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน
ตั้งเคหารายรอบขอบนคร ราษฎรแสนศุขสนุกสบาย
ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชา
สมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย
ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้าย ไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท
พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้า ดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่
พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาใน ม้ารถคชไกรทหารเดิน
สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์ หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ
โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลิน รุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา
ส่วนพระจอมเทพีศรีสมร นามกรซื่อสุวรรณบุบผา
ทรงโฉมประโลมใจไนยนา เป็นใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน
ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า
โขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว
เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายใน บำเรอไทธิบดินทร์นรินทรฯ
๏
ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราช เป็นครูฉลาดรอบรู้ธนูศร
ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจร อิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี
เป็นทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์ เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี
ทั้งภรรยานงรามพราหมณี รู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญฯ
๏
ยังมีสองสามีภิริยา ตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน
หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวน เสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้
ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์
นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส
ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโต ดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง
ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอ จะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง
ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคือง จึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์
เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่ จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร
เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์ โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดีฯ
http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/sri_sepha.htm
นิทานพื้นบ้านศรีธนญชัย
เป็นเวอร์ชั่นการ์ตูน จาก youtube
สร้างสรรค์ให้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน
ทำเป็นสมุดภาพระบายสีนิทาน เรื่อง ศรีธนญชัย
.........................................................................................................................
10
บทที่สรุป
อินโฟกราฟฟิค
เรื่อง นิทาน เซียงเมี่ยง
ภาพอินโฟกราฟฟิค ( Infographic)
.........................................................................................................................
ค
อ้างอิง
จินดา ดวงใจ. (2454). นิทานเชียงเมี่ยง. โรงพิมพ์ บริษท สหธรรมมิก จำกัด
https://th.wikipedia.org/wiki
https://www.gotoknow.org/posts/385260
http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/folk-literature/252-folk/78-----m-s
http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/transaction=post_view.php&cat_main=3&id_main=121&star=0